บทความ

‘โรคอ้วน’ นำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ปรับพฤติกรรม ลดความเสี่ยงได้

โรคอ้วน เป็นอีกหนึ่งภัยเงียบ ที่หลายคนอาจมองเป็นแค่ปัญหาด้านภาพลักษณ์ภายนอก คือการที่มีหุ่นไม่ตรงตามพิมพ์นิยม (Beauty Standard) แต่อย่างไรก็ตาม โรคอ้วน หรือภาวะอ้วน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจนำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากมาย โดยวันนี้ คลินิกเวชกรรมใกล้บ้านใกล้ใจของเรา จะมาแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับ #โรคอ้วน ให้ทุกคนในชุมชนได้เรียนรู้กัน ! โรคอ้วน คืออะไร ? โรคอ้วน คือภาวะที่ร่างกายของเรามีการสะสมไขมันมากเกินไป หรือมากกว่าระดับปกติที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน โดยโรคอ้วนนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่: อ้วนลงพุง: คือ เส้นรอบเอวมากกว่า ส่วนสูง (ซม.) หารด้วย 2 อ้วนทั้งตัว: คือ มีดัชนีมวลกาย* (BMI) มากกว่า หรือเท่ากับ 25 kg/m2 *ดัชนีมวลกาย คำนวนโดยนำ น้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง โรคอ้วน เกิดจากอะไร ? โดยมาก สาเหตุของการเกิดโรคอ้วนในผู้ใหญ่มาจากพฤติกรรมส่วนตัว …

‘โรคอ้วน’ นำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ปรับพฤติกรรม ลดความเสี่ยงได้ Read More »

เช็กก่อนแชร์: ‘เปิดไฟนอน’ ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของเรา จริงหรือไม่ ?

การนอนหลับ ถือเป็นอีกหนึ่งการพักผ่อนร่างกายที่ดีที่สุด โดยหลายคนก็ชอบที่จะนอนหลับในห้องมืด ๆ ปิดไฟทุกดวง ในขณะที่บางคน ก็ชอบที่จะเปิดไฟทิ้งไว้เพื่อความอุ่นใจ แต่อย่างไรก็ดี จากประเด็นบนสังคมออนไลน์ที่ว่า การเปิดไฟนอนนั้น ส่งผลเสียต่อร่างกายของเรา เรื่องนี้มีข้อเท็จจริงอย่างไร วันนี้คลินิกเวชกรรมใกล้บ้านใกล้ใจ จะมาแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวให้ทุกคนได้ทราบกัน ! ข้อเท็จจริงจากกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ชัดเจนว่าการเปิดไฟนอนมีความเสี่ยงต่อภาวะสุขภาพทางหัวใจและเมตาบอลิก ทว่า มีการศึกษาในห้องปฏิบัติการ พบว่าทำให้เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติเพิ่มขึ้น และภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้นในเช้าวันถัดไปเท่านั้น เช็กก่อนแชร์ทุกครั้ง ลดการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารปลอม ดังนั้น ขอให้พี่น้องในชุมชนทุกคนอย่างหลงเชื่อชุดความคิดดังกล่าว ตลอดจนไม่ส่งต่อชุดข้อมูลดังกล่าว และแบ่งปันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวให้กับคนใกล้ตัวได้รับทราบ อ้างอิง: ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (ข้อมูล ณ วันที่ 8 มกราคม 2566) อ่านเพิ่มเติม ที่นี่: เช็กก่อนแชร์: ใช้ปัสสาวะหยอดตา สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดตาได้ จริงหรือไม่ ? เช็กก่อนแชร์: ตำแหน่งสิวสามารถบ่งบอกโรคได้ จริงหรือไม่ ? เช็กก่อนแชร์: ดื่ม แอลกอฮอล์ จะไม่ติดเชื้อ …

เช็กก่อนแชร์: ‘เปิดไฟนอน’ ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของเรา จริงหรือไม่ ? Read More »

‘สัญญาณ’ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หากพบ ควรพบแพทย์ทันที อันตรายถึงชีวิต

พ่อแม่พี่น้องในชุมชนรู้หรือไม่ ? ปัจจุบัน คนไทยเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมากที่สุด เป็นอันดับ 3 รองจากอุบัติเหตุและโรคมะเร็ง โดยจากสถิติพบว่า มีคนไทยป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น 21,700 ราย/ปี และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นอีกหนึ่งภัยเงียบที่เราควรใส่ใจ วันนี้ คลินิกเวชกรรมใกล้บ้านใกล้ใจ เลยจะมาแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เกี่ยวกับโรคดังกล่าว ให้ทุกคนได้ทราบกัน ! โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดจากอะไร ? โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดจากการรวมตัวกันของไขมันที่เกาะภายในผนังหลอดเลือดหัวใจหนาขึ้น ซึ่งไขมันนี้เกิดจากคอเลสเตอรอล ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวและหนาตัวขึ้น ร่างกายจึงไม่สามารถส่งเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้ ปัจจัยเสี่ยง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีอะไรบ้าง ? ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้: ได้แก่ อายุที่มากขึ้น โดยเพศชายมีโอกาสเกิดโรคหัวใจได้มากกว่าเพศหญิงในวัยที่ยังมีประจำเดือน ในขณะที่วัยหมดประจำเดือนเพศหญิงมีโอกาสเกิดเท่ากับเพศชาย และปัจจัยด้านพันธุกรรมต่าง ๆ ปัจจัยที่ควบคุมได้: ได้แก่ ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน สูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย น้ำหนักเกินมาตรฐาน รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และความเครียด สัญญาณ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีอะไรบ้าง ? ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บบริเวณหน้าอก เหมือนมีของหนักมาทับในขณะพัก …

‘สัญญาณ’ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หากพบ ควรพบแพทย์ทันที อันตรายถึงชีวิต Read More »

“กินหมูดิบ เสี่ยงหูดับ” กรมควบคุมโรคแนะประชาชน กินอาหารปรุงสุก ถูกหลักอนามัย

“หูดับ” หรือ “โรคไข้หูดับ” อาจเป็นคำที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้งในร้านหมูกระทะ หรือปิ้งย่างต่าง ๆ เวลามีใครสักคนใช้ตะเกียบคู่เดิม คีบหมูดิบไปปิ้ง และคีบมาใส่จานตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโรคดังกล่าวจะดูเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง แต่ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้ว โรคไข้หูดับคืออะไร โดยวันนี้ คลินิกเวชกรรมใกล้บ้านใกล้ใจ จะมาแบ่งปันเนื้อหาสาระดี ๆ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ให้ทุกคนในชุมชนได้ทราบกัน   โรคไข้หูดับ คืออะไร ? โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตร็พโตค็อคคัส ซูอิส (Streptococcus Suis) ซึ่งเป็นเชื้อที่สามารถพบได้ในทางเดินหายใจและในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อสู่คนได้ผ่านทางบาดแผล รอยถลอก เยื่อบุตา และการรับประทานเนื้อหมู หรือเลือดของหมูที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ หรือการสัมผัสโดยตรงกับหมูที่ติดเชื้อ ทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมู โรคไข้หูดับ มีอาการอย่างไร ? ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการหลังรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยเฉลี่ยใน 3 วัน โดยมักมีอาการไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปวดตามข้อ มีจ้ำเลือดตามตัว ตามผิวหนัง …

“กินหมูดิบ เสี่ยงหูดับ” กรมควบคุมโรคแนะประชาชน กินอาหารปรุงสุก ถูกหลักอนามัย Read More »

ไม่เค็ม ไม่ได้แปลว่าไม่มีโซเดียม ! กรมอนามัย แนะ 5 อาหารซ่อนโซเดียม เน้นย้ำ กินเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน

ปัจจุบัน คนไทยมีแนวโน้มบริโภคโซเดียมในชีวิตประจำวันมากขึ้น สืบเนื่องมาจากความชอบกินอาหารรสเค็ม หรือจากความไม่รู้ส่วนประกอบของปริมาณโซเดียมในอาหาร ซึ่งการกินอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่าง ๆ มากมาย กินอาหารที่มีโซเดียมสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร ? องค์การอนามัยโลก ได้กำหนดมาตรฐานไว้ว่า เราควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน หรือเทียบเท่า เกลือ 1 ช้อนชา หรือ 5 กรัม และเมื่อเฉลี่ยแล้ว ไม่ควรได้รับโซเดียมเกิน 600 มิลลิกรัมต่อมื้ออาหาร หากกินอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูงกว่าที่ควร อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะนำไปสู่การเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคไตเรื้อรัง ปรับพฤติกรรมการบริโภค เพื่อลดความเสี่ยงโรคร้าย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคถือเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด และควรปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก เน้นการกินอาหารรสธรรมชาติ เพื่อไม่ให้ติดรสเค็ม เพราะหากติดเป็นนิสัยมาจนโต ทำให้แก้ไขยาก อาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเราควรเลี่ยงอาหารรสเค็ม และอาหารชนิดอื่น ๆ ที่อาจไม่มีรสเค็ม แต่เต็มไปด้วยโซเดียม 5 ประเภทอาหาร ที่มีปริมาณโซเดียมแฝงอยู่ เครื่องปรุงรสทั้งที่มีรสเค็มและไม่มีรสเค็ม: …

ไม่เค็ม ไม่ได้แปลว่าไม่มีโซเดียม ! กรมอนามัย แนะ 5 อาหารซ่อนโซเดียม เน้นย้ำ กินเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน Read More »

เคล็ด(ไม่)ลับ: เสริมสร้างสุขภาพกายที่ดี เริ่มต้นง่าย ๆ เพียงดื่มน้ำเปล่าวันละ 6 – 8 แก้ว

เมื่อพูดถึงการสร้างเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หลายคนอาจมองไปถึงการรับประทานอาหารที่มีโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ปราศจากไขมันต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถเริ่มต้นดูแลสุขภาพกายของเราได้ง่าย ๆ เพียง ดื่มน้ำสะอาด เท่านั้น และวันนี้ คลินิกเวชกรรมใกล้บ้านใกล้ใจ ก็จะมาแบ่งปันเนื้อหาสาระดี ๆ เกี่ยวกับการดื่มน้ำ ให้ทุกคนในชุมชนได้ทราบกัน ประโยชน์จากการ ‘ดื่มน้ำเปล่า โดยกรมอนามัย การดื่มน้ำที่สะอาดและเพียงพอต่อร่างกาย จะทำให้ระบบต่าง ๆ ได้รับการกระตุ้นและพร้อมที่จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้โลหิตไม่ข้น การไหลเวียนเป็นไปได้ง่าย หัวใจไม่ทำงานหนัก ไม่เมื่อยล้า ไม่เหนื่อยง่าย ลมหายใจสะอาด สดชื่น นัยน์ตาสดใสเป็นประกาย มีน้ำหล่อเลี้ยง ไม่มีเส้นเลือดแดงกล่ำ ไม่แสบตา ลดปัญหาร้อนในและลิ้นสะอาด ผิวกาย ใบหน้าชุ่มชื่น การขับถ่ายของเสียสะดวก ท้องไม่ผูก ไม่ปวดหลังและบั้นเอว สุขภาพไตดี รูขุมขนมีเหงื่อชุ่มเย็นเสมอ เลือก ‘ดื่มน้ำเปล่า’ ในปริมาณที่เหมาะสม ทั้งนี้ เราควรเลือกน้ำดื่มที่สะอาด ปราศจากสิ่งปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไม่เป็นน้ำที่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป การดื่มน้ำอุ่นเล็กน้อยในตอนเช้า จะช่วยทำให้การขับถ่ายดีขึ้น ลำไส้สะอาด ในหนึ่งวัน …

เคล็ด(ไม่)ลับ: เสริมสร้างสุขภาพกายที่ดี เริ่มต้นง่าย ๆ เพียงดื่มน้ำเปล่าวันละ 6 – 8 แก้ว Read More »

เช็กก่อนแชร์: ใช้ปัสสาวะหยอดตา สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดตาได้ จริงหรือไม่ ?

กระแสการใช้ปัสสาวะมาเป็นยาวิเศษ ช่วยรักษาอาการต่าง ๆ ยังคงเป็นที่พูดถึงบนสังคมออนไลน์ และมักเป็นความเชื่อที่ถูกส่งต่อ ประเด็นดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ วันนี้ คลินิกเวชกรรมใกล้บ้านใกล้ใจ จะมาแบ่งปันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวให้พี่น้องในชุมชนได้ทราบกัน ปัสสาวะคืออะไร ? ปัสสาวะ คือ ของเสียในรูปของเหลวที่ผลิตออกจากไต โดยกระบวนการกรองจากเลือดและขับออกจากท่อปัสสาวะ มีปริมาณ 1 ลิตรต่อวัน มีองค์ประกอบ 95 % เป็นน้ำ 2.5% เป็นยูเรียและที่เหลือประกอบด้วยสารเคมีอื่น ๆ ปัสสาวะอาจมีสีแตกต่างกันตามปริมาณน้ำตั้งแต่ใสไม่มีสี จนถึงสีเข้ม ในกรณีดื่มน้ำน้อยทำให้มีของเสียปะปนกับปัสสาวะมาก โดยทั่วไปปัสสาวะมีความเป็นกรดเล็กน้อย (ph 6.0) อาจมีความเป็นกลางหรือด่างได้ขึ้นกับปริมาณน้ำที่ดื่ม อาหาร หรือยาที่บริโภค โดยมีค่าความเป็นกรดด่างตั้งแต่ 4.6 ถึง 8.0 ข้อเท็จจริงจากกระทรวงสาธารณสุข จากข่าวสารบนสังคมออนไลน์ ที่ว่า สามารถใช้ปัสสาวะใหม่ ๆ หยอดตา เพื่อบรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากใช้สายตาหนัก หรือแพ้แสงแดดได้ ทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า การใช้น้ำปัสสาวะบำบัดยังไม่มีงานวิจัยทางคลินิกที่น่าเชื่อถือมาอ้างอิงว่ารักษาโรคได้จริง  อันตรายที่อาจเกิดขึ้น หากใช้ปัสสาวะหยอดตา หากนำปัสสาวะมาหยอดตา อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา ตาแดง …

เช็กก่อนแชร์: ใช้ปัสสาวะหยอดตา สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดตาได้ จริงหรือไม่ ? Read More »

วางแผนการรับวัคซีนให้บุตรหลานอย่างเป็นระบบ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่ดีตั้งแต่วัยเยาว์

การรับวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ให้กับร่างกาย ไม่ใช่เรื่องใหม่ในยุคโควิด-19 โดยเราเริ่มรับวัคซีนต่าง ๆ มาตั้งแต่เรายังเด็ก และอาจเด็กจนจำความไม่ได้ จึงเป็นเหตุผลที่อธิบายว่า ทำไมวัคซีนบางชนิดถึงชื่อไม่คุ้นหูเราเสียเลย วันนี้ คลินิกเวชกรรมใกล้บ้านใกล้ใจ จะมาแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการรับวัคซีนที่ควรรับในเด็ก ซึ่งผู้ปกครองหลาย ๆ ท่านอาจไม่คุ้นหู หรือไม่แน่ใจ ตลอดจนมองไม่เห็นความสำคัญของการรับวัคซีนดังกล่าว และคำถามและข้อสงสัยอื่น ๆ มีอะไรบ้าง มาดูกันเลย ! วัคซีนพื้นฐานที่เด็ก ๆ ควรรับ: วัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG) วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ (OPV) วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (DTP) วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (HB) วัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR) วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ (JE) โดยการรับวัคซีนแต่ละชนิดจะมีความเหมาะสม และการเว้นระยะห่างที่แตกต่างกัน ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานเข้าพบแพทย์ เพื่อทราบข้อมูลโดยระเอียด ตลอดจนพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคชนิดต่าง ๆ ให้ตรงกับเวลาที่แพทย์นัด คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับการรับวัคซีนในเด็ก สามารถพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนก่อนกำหนดได้หรือไม่? คำตอบคือ ไม่ควรรับวัคซีนก่อนวันเวลาที่กำหนด เพราะจะทำให้การกระตุ้นภูมิคุ้มกันเกิดได้ไม่ดีเท่ากับการรับวัคซีนตามเวลาที่กำหนด …

วางแผนการรับวัคซีนให้บุตรหลานอย่างเป็นระบบ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่ดีตั้งแต่วัยเยาว์ Read More »

เช็กก่อนแชร์: ตำแหน่งสิวสามารถบ่งบอกโรคได้ จริงหรือไม่ ?

หลายคนอาจเคยได้ยินชุดความคิดที่ว่า ตำแหน่งของสิวบนใบหน้า สามารถบ่งบอกได้ว่าร่างกายเรากำลังมีปัญหาสุขภาพอะไรอยู่ ซึ่งเราก็มักจะฟังหูไว้หู หรือไม่ก็เผลอคล้อยตามชุดความคิดนั้นไป ชุดความคิดดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ วันนี้ คลินิกเวชกรรมใกล้บ้านใกล้ใจ จะมาแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ให้พี่น้องในชุมชนได้เรียนรู้กัน ! ทำความรู้จักสิว คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร สิว เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของรูขุมขนและต่อมเหงื่อ ซึ่งเกิดได้ในทุกช่วงอายุ แต่มักจะเกิดมากที่สุดในช่วงวัยรุ่น กลไกการเกิดสิวเกี่ยวข้องกับการอุดตันของรูขุมขน การผลิตไขมันจากต่อมไขมันที่มากผิดปกติ มีเชื้อก่อโรค Cutibacterium Acnes ที่ผิวหนัง และขบวนการอักเสบของร่างกาย โดยมีปัจจัยทางด้านกรรมพันธุ์ ฮอร์โมนโดยเฉพาะฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน ปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย กรดไขมันจำเป็นที่ผิวหนังบางชนิด เป็นตัวส่งเสริมในการเกิดโรค สิว อาจสัมพันธ์กับโรคที่มีความผิดปกติของการผลิตฮอร์โมนเพศซึ่งจะสงสัยมากขึ้นในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีสิวรุนแรง มีสิวช่วงใกล้หรือช่วงที่มีประจำเดือน ร่วมกับมีหน้ามันมาก ขนดก ผมบางจากฮอร์โมน เสียงแหบเหมือนผู้ชาย เป็นต้น ข้อเท็จจริงจาก กระทรวงสาธารณสุข ทางสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ข้อมูลว่า สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งของการเกิดสิวในที่ต่าง ๆ ของใบหน้าหรือร่างกายกับความผิดปกติหรือโรคในระบบอื่น ๆ นั้น ปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยยืนยันหรือสนับสนุนความผิดปกติในเรื่องดังกล่าว เช็กก่อนแชร์ทุกครั้ง …

เช็กก่อนแชร์: ตำแหน่งสิวสามารถบ่งบอกโรคได้ จริงหรือไม่ ? Read More »

วิธีออกกำลังกายสำหรับ 4 กลุ่มวัย เพิ่มความอบอุ่น-สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ตลอดช่วงฤดูหนาว

นอกเหนือจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการสวมเสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ การเตรียมความพร้อมด้วยการออกกำลังกายก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการเสริมภูมิคุ้มกันที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว วันนี้ คลินิกเวชกรรมใกล้บ้านใกล้ใจ จะมาแบ่งปันวิธีการออกกำลังกาย ที่แตกต่างกันตามช่วงวัย เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ตลอดช่วงฤดูหนาวนี้ ให้ทุกคนในชุมชนได้ทราบกัน วิธีการออกกำลังกายสำหรับ 4 กลุ่มวัย กรมอนามัย ได้แนะนำวิธีการออกกำลังกายรูปแบบต่าง ๆ สำหรับ 4 ช่วงวัย เพื่อเพิ่มความอบอุ่นและเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ดังนี้: เด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 6 ปี): เน้นการออกกำลังกายที่สนุกสนาน ให้เด็กใช้เวลาได้นาน ไม่เบื่อหน่าย เช่น วิ่งเก็บของ วิ่งเปี้ยว การละเล่นไทยต่าง ๆ หรือกายบริหารประกอบเพลง เป็นต้น ช่วงอายุ 6 – 17 ปี: ควรออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 60 นาที (สะสมต่อเนื่อง 10 นาทีขึ้นไป) สามารถออกกำลังกายได้หลายรูปแบบ เน้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เป็นหลัก เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน …

วิธีออกกำลังกายสำหรับ 4 กลุ่มวัย เพิ่มความอบอุ่น-สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ตลอดช่วงฤดูหนาว Read More »