ผู้ปกครองเตรียมพร้อม ! ดูแลบุตรหลานจากไวรัส RSV วายร้ายประจำฤดูฝน

ช่วงฤดูฝนของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ผู้ปกครอง ควรให้การดูแลเอาใจใส่บุตรหลานในเรื่องของสุขภาพมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสต่าง ๆ มากกว่าช่วงอื่นในรอบปี วันนี้ คลินิกเวชกรรมใกล้บ้านใกล้ใจของเรา เลยจะมาแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อไวรัส RSV วายร้ายที่มักแวะเวียนมาเล่นงานเด็ก ๆ ในช่วงฤดูฝน ให้กับทุกคนในชุมชน

เชื้อไวรัส RSV คืออะไร มีอาการอย่างไร ?

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) ว่า เป็นเชื้อไวรัสที่มักระบาดมากในช่วงฤดูฝนถึงฤดูหนาว (ประมาณช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนมกราคม) เด็กที่ร่างกายแข็งแรง เมื่อได้รับเชื้อไวรัส RSV มักจะมีอาการน้อย โดยมากมักมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา น้ำมูกไหล ไอ จาม มีไข้ คออักเสบ แต่ในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปี ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือในกลุ่มเด็กที่มีโรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ ภูมิต้านทานบกพร่อง อาจมีอาการรุนแรง เป็นหลอดลมฝอยอักเสบ และปอดบวม ไข้สูง ไอมีเสมหะ หายใจหอบจนอกบุ๋ม หายใจแรง หายใจออกลำบาก หรือหายใจมีเสียงวี้ด ซึม ตัวเขียว ในบางรายอาจไอมากจนอาเจียน ไม่สามารถรับประทานอาหารได้

เด็ก ๆ สามารถรับเชื้อไวรัส RSV ได้อย่างไร ?

นพ.อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า เชื้อไวรัส RSV สามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยผ่านทางเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือ ผ่านทางการสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการสัมผัสผู้ป่วย หรือสารคัดหลั่งจากปาก จมูก และทางลมหายใจผู้ป่วย ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัส RSV การรักษาจึงเป็นรักษาตามอาการ ในผู้ป่วยเด็กบางรายที่มีอาการรุนแรงจนกินได้น้อย มีหลอดลมฝอยอักเสบ และปอดบวม หายใจหอบแรง ลำบาก หรือหายใจมีเสียงวี้ด จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

แนะผู้ปกครอง ลดความเสี่ยง – หมั่นสังเกตอาการของบุตรหลาน

ผู้ปกครองสามารถลดความเสี่ยงและป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV ของบุตรหลานได้ โดย:

  • ดูแลสุขภาพตนเอง และบุตรหลานให้แข็งแรง
  • หมั่นล้างมือให้สะอาด
  • แยกผู้ป่วย RSV เพื่อป้องกันการติดต่อทางการสัมผัส
  • ทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอ
  • สวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในที่แออัดหรือในบริเวณสาธารณะ
  • ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเมื่อมีน้ำมูกคั่ง
  • ดื่มน้ำที่สะอาดในปริมาณที่ควรได้รับ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ

อ้างอิง: กรมการแพทย์ (ข้อมูล ณ วันที่ 16  สิงหาคม 2564)

กดแชร์บทความ

ดูบทความอื่นๆ